HIGHLIGHT:
- เทรนด์การทำงานแบบ Remote Working ในปัจจุบันทำให้หลายองค์กรต่างพยายามปรับออฟฟิศให้ตอบรับกับการทำงานของพนักงานมากขึ้น
- TELECUBE คือตู้ทำงานที่เริ่มเปิดใช้งานในประเทศญี่ปุ่น ขนาดเท่ากับตู้โทรศัพท์ทั่วไป ให้บริการตามสถานีรถไฟและสนามบินสำหรับคนที่ต้องการทำงานระหว่างรอเดินทาง
- อีกหนึ่งแนวโน้มของการทำงานในอนาคตคือการทำงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ที่ถูกพัฒนาเพื่อรองรับทุกฟังก์ชันของการทำงานอย่าง Workplace by Facebook เป็นต้น
“50% of people will be working remotely by 2020”
หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน คำกล่าวนี้ข้างต้นอาจฟังดูไกลตัวและเกินจริง แต่เมื่อเวลาผ่านไป แนวโน้มของเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบันกำลังบอกเราว่า นอกจากภายในปี 2020 คนทำงานกว่าครึ่งหนึ่งจะไม่ทำงานอยู่กับที่ในออฟฟิศแล้วหันมาทำงานแบบอิสระจากตามสถานที่ต่างๆ แล้ว ยุคสมัยของการทำงานแบบเดิมๆ ในห้องสี่เหลี่ยมคงกำลังจะหมดไปจริงๆ
สถิติจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดชี้ว่า ประสิทธิภาพของคนที่ทำงานแบบรีโมทสูงกว่าประสิทธิภาพคนที่ทำงานในออฟฟิศถึง 13 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้นคนเหล่านี้มีแนวโน้มการลาป่วยที่น้อยลง และยินดีที่จะทำงานล่วงเวลามากขึ้นถึง 23 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย
ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เมื่อหลายปีที่ผ่านมาหลายบริษัทต่างก็เร่งพัฒนานวัตกรรมการทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของคน จนเกิดเป็นออฟฟิศรูปแบบพอด(Pod) ที่มีลักษณะคล้ายกับกล่องขนาดเล็กที่เคลื่อนที่ได้ง่ายและสะดวก ภายในจัดวางแบบเป็นกลางเหมาะกับการใช้งานหลายรูปแบบหรือปรับเปลี่ยนได้ภายในแผนก เป็นได้ทั้งห้องโทรศัพท์ ห้องประชุม หรือแม้แต่ห้องทำงานส่วนตัวที่ปราศจากเสียงรบกวน
พอด(Pod) ที่มีลักษณะคล้ายกับกล่องขนาดเล็กที่เคลื่อนที่ได้ง่ายและสะดวก ภายในจัดวางแบบเป็นกลางเหมาะกับการใช้งานหลายรูปแบบหรือปรับเปลี่ยนได้ภายในแผนก เป็นได้ทั้งห้องโทรศัพท์ ห้องประชุม หรือแม้แต่ห้องทำงานส่วนตัวที่ปราศจากเสียงรบกวน
ความพยายามเปลี่ยนการทำงานแบบเดิมๆ ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เมื่อผู้ผลิตชาวอังกฤษออกผลิตภัณฑ์ออฟฟิศแบบพกพาชื่อว่า Beebox ออฟฟิศที่สามารถเลื่อนเก็บให้มีขนาดเล็กได้ ภายในมีทั้งตู้และลิ้นชักสำหรับเก็บของและเอกสาร มีโต๊ะทำงาน และมีล้ออยู่ด้านล่าง ทำให้สะดวกต่อการเคลื่อนย้ายไปทำงานนอกสถานที่ ออฟฟิศชั่วคราวสามารถใช้งาน Beebox หลายๆ อันต่อกันเพื่อเป็นออฟฟิศขนาดใหญ่ได้
จนมาถึงปัจจุบัน เทรนด์ของการทำงานแบบรีโมทเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากจนน่าตกใจ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีตัวเลขของจำนวน Co-Working Space ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 11500 แห่งในปี 2019 สูงกว่าภูมิภาคยุโรปตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) ที่เป็นรองอยู่ถึงเกือบ 2 เท่า เนื่องจากแนวโน้มของรูปแบบการทำงานดังกล่าวดูเหมือนจะตอบรับกับคนเอเชียที่รักอิสระอย่างเราได้เป็นอย่างดี
TELECUBE ตู้โทรศัพท์สำหรับคนรักงานนอกสถานที่
ล่าสุดในประเทศญี่ปุ่นซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการทำงานแบบทุ่มเทสุดชีวิต Mitsubishi Estate ร่วมกับ Okamura ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์สำหรับออฟฟิศ และ V-Cube ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์สำหรับประชุมออนไลน์ ได้มีการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ในชื่อ Telecube ออฟฟิศขนาดเท่าตู้โทรศัพท์ที่ตอบรับการทำงานแบบรีโมทของคนญี่ปุ่น
“ถ้าคุณกำลังเดินทางกลับจากการไปหาลูกค้า แล้วบังเอิญมีเวลาว่าง 15 นาทีระหว่างรอรถไฟ คุณจะต้องอยากได้พื้นที่ทำงานแบบนี้แน่” ฮิโรยูกิ มาชิตะ ซีอีโอของ Telecube กล่าว
ผู้ใช้งานสามารถจองใช้ตู้ล่วงหน้าผ่านแอพพลิเคชัน และเปิดใช้งานด้วย QR code จากสมาร์ทโฟนได้เมื่อถึงเวลา ภายในตู้ทำงานขนาด 1.2 ตารางเมตรนี้ประกอบไปด้วยเก้าอี้ โต๊ะ และปลั๊กสำหรับชาร์จไฟ พร้อมผนังกันเสียงเพื่อให้ผู้ใช้ได้ทำงานอย่างสงบ ไม่ถูกเสียงภายนอกรบกวน โดยตู้ Telecube จะให้บริการอยู่ตามสถานีรถไฟ สนามบิน หรือตามล๊อบบี้ของอาคารสูงในราคา 250 เยนหรือประมาณ 70 บาท ต่อ 15 นาที ซึ่งถ้าหากเช่ารายเดือนในหน่วยชั่วโมงก็จะราคาถูกลงไปอีก
ตู้ทำงานขนาดเล็กนี้ถูกออกแบบให้ตอบรับกับแนวโน้มของการทำงานที่เปลี่ยนไป โดยผู้ผลิตได้เริ่มทดลองใช้งานครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาและได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี จึงตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนใหได้ถึง 1 พันตู้ภายในปี 2023
New Ways of Non-Remote Working
อย่างไรก็ตามการทำงานของหลายๆ องค์กรยังคงไม่เหมาะกับรูปแบบอิสระ องค์กรต่างๆ เหล่านั้จึงเร่งสร้างความโดดเด่นให้กับการทำงานในออฟฟิศ และเปลี่ยนแปลงให้ตอบรับกับเทรนด์ของการทำงานที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน และดึงดูให้พนักงานอยากจะเข้ามาทำงานในออฟฟิศมากขึ้น จนเกิดเป็นออฟฟิศที่แปลกและแหวกแนวมากมาย
ถ้าหากพูดถึงการทำงานในออฟฟิศแล้วคงจะหนีไม่พ้นองค์กรที่ขึ้นชื่อว่าใครๆ ก็อยากไปทำ กับพื้นที่ที่เป็นสุดยอดของบรรยากาศการทำงานอย่าง Google ออฟฟิศที่มีสีสันสดใส พร้อมพื้นที่อำนวยความสะดวกอันพร้อมสรรพสำหรับทั้งการทำงาน การกีฬา การพักผ่อน ไปจนถึงการกิน ที่ไม่ใช่แค่มีร้านอาหารหรือร้านกาแฟเท่านั้น แต่ยังมีสวนสำหรับให้พนักงานได้ช่วยกันปลูกผักเพื่อกินเองอีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีออฟฟิศอื่นๆ อีกมากมายที่มีการออกแบบที่แปลกใหม่ อย่างออฟฟิศ Box inc. ที่แคลิฟอร์เนีย เปลี่ยนแนวคิดของการทำงานและตีความใหม่ว่า ‘Work is Play’ เพราะการทำงานก็คือการเล่น ที่ออฟฟิศนั้นจึงมีเครื่องเล่นมากมายอยู่ภายในตั้งแต่ชิงช้าไปจนถึงสไลด์เดอร์รูปเกลียวสูงสองชั้นที่ทำให้ทุกคนสนุกกับการโยกย้ายตัวเองไประหว่างพื้นที่ทำงาน และทำให้ไม่เบื่อที่จะทำงานในทุกวัน
หรือออฟฟิศของ Grant Thornton ใน Belfast เป็นหนึ่งในออฟฟิศที่มีวิธีการที่น่าสนใจ ที่นี่เลือกใช้วิธีสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับพนักงานและลูกค้าด้วยการแปลงโฉมห้องต่างๆ ตั้งแต่ห้องรับแขกไปจนถึงห้องประชุมให้เข้ากับภาพยนตร์ดังมากมายไม่ว่าจะเป็น Charlie and the Chocolate Factory, Harry Potter และ Jurassic Park เป็นต้น
หรือแม้กระทั่งดีแทคเองก็จัดพื้นที่ในองค์กรสู่ความไฮเทค ด้วยการเปิดร้านกาแฟ Never Stop Cafè ที่ดีแทค เฮาส์ ชั้น 32 อาคารจามจุรีสแควร์ จากจุดเริ่มต้นด้วยแนวคิด EIC (Engagement, Innovation, Collaboration) ที่ต้องการพื้นที่ให้พนักงานมีส่วนร่วม มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทั้งเรื่องงานและเรื่องทั่วไป เพื่อต่อยอดความคิดไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ ในองค์กร และมีพื้นที่ทำงานร่วมกันที่ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟเท่านั้น ดีแทคได้เสริมเทคโนโลยี 5G เข้าไปในพื้นที่ร้านกาแฟ ด้วยการนำคลื่นความถี่ 28GHz มาให้ใช้งานผ่านเสาสัญญาณ 5G ของจริงในบริเวณชั้น 32 เพื่อให้พนักงานได้เริ่มต้นเรียนรู้เกี่ยวกับ 5G และยังได้ใช้งาน 5G WiFi Hotspot ในพื้นที่ร้านกาแฟ Never Stop Cafè ซึ่งจะเพิ่มทั้งประสิทธิภาพการทำงานเข้าสู่โลกออนไลน์ด้วยความเร็วสูงกว่าอินเทอร์เน็ตธรรมดา และยังเป็นการเรียนรู้สู่เทคโนโลยีการสื่อสาร 5G ร่วมกัน แน่นอนว่าในอนาคตเมื่อ 5G มาถึง การพัฒนาสู่บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายแบบประจำที่ หรือ Fixed Wireless Access (FWA) จะเป็นอีกหนึ่งบริการที่สำคัญของ 5G อีกด้วย
WORKPLACE ทำงานแบบไม่มีที่ทำงาน
อย่างไรก็ตาม เทรนด์ของการทำงานในอนาคตอาจไม่ใช่ทั้งการทำงานในออฟฟิศหรือการทำงานแบบรีโมท แต่อาจเป็นการทำงานแบบไม่มีที่ทำงานเลยด้วยซ้ำ ซึ่งปัจจุบัน เทคโนโลยีต่างๆ ก็หันมารองรับการทำงานแบบนี้มากขึ้น ทั้ง Video Conference หรือระบบการตรวจงาน
เมื่อปี 2016 Facebook หนึ่งในแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้เปิดตัวพื้นที่ทำงานใหม่ที่ชื่อว่า Workplace by Facebook ซึ่งมีข้อดีคือการต่อยอดพื้นที่ที่ทุกคนมีอยู่แล้วอย่างเฟซบุ๊กให้สามารถใช้ทำงานได้อย่างราบรื่น สามารถจัดการการเข้าถึงข้อมูล ประชุมงานออนไลน์ หรือสามารถใช้งานระบบวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ก็ได้เช่นเดียวกัน
ปัจจุบันมีอีกหลายพื้นที่ออนไลน์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการทำงานที่เปลี่ยนไป ซึ่งถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดนิ่ง และอนาคตในไม่ช้านี้ ไม่ใช่แค่เพียง 50 เปอร์เซ็นต์ของคนทำงานที่จะอยู่นอกออฟฟิศ แต่อาจไม่มีใครที่ทำงานในออฟฟิศอีกต่อไปเลยก็เป็นได้
แล้วคุณเอง อยากทำงานในพื้นที่แบบไหน
อ้างอิง: