VCN อีกก้าวสำคัญสู่ยุค 5G ของดีแทค

โดยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ดีแทคได้ฤกษ์ทดสอบการใช้งานระบบดังกล่าวเป็นครั้งแรก โดยเริ่มทดสอบการใช้งานดังกล่าวผ่านระบบ VCN ที่ 7% ของแทรฟฟิกข้อมูลทั้งหมด และจะเพิ่มสัดส่วนการใช้งานผ่านระบบ VCN อย่างต่อเนื่อง  จากผลการทดสอบพบว่าความเร็วเสถียรอยู่ที่ 2.8 Gbps โดยมีค่า latency ต่ำกว่า 5 มิลลิวินาที ในขณะที่โดยทั่วไปสัญญาณ 4G จะมีความเร็วประมาณ 14 Mbps (ค่า latency ที่ 60 มิลลิวินาที) และ 4G+ อยู่ที่ 40 Mbps (ค่า latency ที่ 30 มิลลิวินาที)

TG_image_bank_006_medium.jpgและด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนี้เองที่จะช่วยให้ dtac สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้นผ่านบริการรูปแบบใหม่ๆ ต่างจากระบบก่อนหน้าที่อาศัยฮาร์ดแวร์ที่สามารถทำงานได้แค่ทีละอย่าง และการปรับปรุงระบบก็กินเวลาและงบประมาณ ในขณะที่ VCN สามารถปฏิบัติงานหลายอย่างได้ในคราวเดียวกันบนฮาร์ดแวร์ตัวเดิม ซึ่งสามารถรองรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอนาคตได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ต้องอาศัยการรับ-ส่งชุดข้อมูลเป็นจำนวนมากๆ อย่าง Internet of Things ยิ่งไปกว่านั้น VCN มีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากเท่าระบบเดิมๆ ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่าแม้การใช้ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้นทุนและค่าใช่จ่ายก็ยังอยู่ในราคาที่สมเหตุสมผล

คุณประเทศ_108

นายประเทศ ตันกุรานันท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเทคโนโลยี มองว่า VCN เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่สร้างความมั่นใจให้กับองค์กรนับตั้งแต่ที่เริ่มนำเอาระบบนี้เข้ามาใช้ในตอนที่ตลาดยังไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งนี้เท่าไหร่นัก แต่ ณ วันนี้มันได้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากต่อในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุคดิจิทัล

ด้านนายเซบัสเตียน ลอว์เรน ผู้อำนวยการ Nokia ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “รู้สึกยินดีที่ได้ให้การสนับสนุนดีแทคในการพัฒนาครั้งสำคัญนี้ จากตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาที่ได้ร่วมมือกันกับทางทีมดีแทค มั่นใจได้ว่า จะสามารถรองรับการให้บริการลูกค้ากว่า 23 ล้านคนได้อย่างรวดเร็วขึ้นอย่างแน่นอน”

นายลี ยูดง ผู้อำนวยการลูกค้า หัวเหว่ย (ประเทศไทย) กล่าวว่า เทคโนโลยี VCN เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการก้าวไปอีกขั้นของดีแทค และนับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของดีแทคเลยก็ว่าได้