เปิดมุมมอง ‘เนียร์ อียาร์’ เจ้าของทฤษฎี ‘Hooked Model’ ส่องทิศสตาร์ทอัพไทย

Author: WANPEN PUTTANONT (The Bangkok Insight)

 

ในโอกาสที่ เนียร์ อียาร์ (Nir Eyal) ผู้เขียนหนังสือ HOOKED : How to Build Habit- Forming Product หนังสือขายดีอันดับหนึ่ง ในหมวด Product Management ของ Amazon.com และกูรูด้านสตาร์ทอัพระดับโลก มาร่วมเป็นวิทยากรในบูธแคมป์ โครงการดีแทค แอคเซอเลอเรท ปีที่ 4 ติดต่อกันจึงเป็นโอกาสดี ที่ เนียร์ อียาร์ จะมาเปิดมุมมองของวงการสตาร์ทอัพไทย

เนียร์ อียาร์ เล่าว่า หลังจากได้มาสัมผัสกับสตาร์ทอัพไทย โดยเฉพาะในโครงการดีแทค แอคเซอเลอเรท ทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า ปัจจุบันสตาร์ทอัพไทยมีการพัฒนาขึ้นอย่างมาก จากเดิมเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ต่อมาสามารถพัฒนาเป็นธุรกิจที่ทำรายได้ สร้างผลกำไร รวมถึงสามารถระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจได้หลายรายที่สำคัญคือสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว จะหันกลับมาสนับสนุนสตาร์ทอัพน้องใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนร่วม การเป็นที่ปรึกษาให้ความรู้ในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ดังนั้นจึงเห็นควรว่า ควรจะมีโครงการในลักษณะเดียวกันกับ ดีแทค แอคเซอเลอเรท เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นการร่วมพัฒนาสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตเร็วขึ้น

ขณะที่ปัจจุบันเป็นยุคของเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะบิ๊กดาต้า เอไอ และแมทชีนเลิร์นนิ่ง เนียร์ อียาร์ มองว่ามีประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาธุรกิจของสตาร์ทอัพ เนื่องจากสามารถใช้เอไอในการจับพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมาย นำข้อมูลจำนวนมหาศาลหรือบิ๊กดาต้ามาวิเคราะห์ เพือนำข้อมูลที่มีประโยชน์ไปออกแบบและพัฒนาโปรดักส์ ที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย หรือแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดมากขึ้น รวมไปถึงการต่อยอด สร้างสรรค์โปรดักส์ใหม่ๆ ที่ค้นพบว่ากลุ่มเป้าหมายมีความต้องการ แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนองโปรดักส์ที่ดี ควรดีไซน์บนพื้นฐานความสามารถแก้ปัญหาของลูกค้าได้ เนียร์ อียาร์ กล่าว

ด้านสมโภชน์ จันทร์สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ ดีแทค แอคเซอเลอเรท กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวอย่างของการพัฒนาโปรดักส์ที่ดีโดยใช้ Hooked Model หรือพฤติกรรมการใช้ซ้ำ เช่น Finnomena สตาร์ทอัพสายฟินเทค แอปพลิเคชั่นเพื่อการเงินและการลงทุนที่นำ Hooked Model มาใช้ เพื่อให้เกิดพฤติกรรมการใช้ซ้ำ จากปกติที่คนไม่ลงทุนซ้ำๆบ่อยๆ จึงแก้ปัญหาด้วยการปรับคอนเทนต์ สร้างคอมมูนิตี้ให้เกิดการพูดคุยและเอนเกจกับแอปพลิเคชั่น ด้วยการสร้างคอนเทนต์ตลอดเวลา ซึ่งเป็นขั้นตอน Trigger คือใช้คอนเทนต์กระตุ้นให้เกิดการใช้โปรดักส์ และทำให้เกิดขั้นตอนอื่นๆตามมาจนครบ และวนซ้ำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตามสมโภชน์มองว่า สิ่งสำคัญที่สตาร์ทอัพไทยยังขาด หรือมีน้อยมากคือ การคิดสร้างสตาร์ทอัพที่แก้ปัญหาระดับโลก ทำให้การพัฒนาธุรกิจยังอยู่ในวงแคบ เช่นระดับกลุ่มคนที่มีปัญหาเดียวกันกลุ่มหนึ่ง หรือระดับประเทศทำให้พัฒนาได้ช้า ต่างจากสตาร์ทอัพประเทศอื่น เช่น อินโดนีเซีย เวียดนามที่จับ pain point หรือปัญหาระดับโลกมาคิดหาธุรกิจ ที่ช่วยแก้ปัญหาในระดับมหภาคได้

blank

สำหรับทฤษฎี Hooked Model ของเนียร์ อียาร์ แบ่งเป็น 4 ขั้นตอนคือ 1. Trigger ตัวกระตุ้นให้เกิดการใช้งาน เช่นเฟซบุ๊กที่มี Notification ขึ้นมาให้เห็น 2.Action การกระทำต่อสิ่งกระตุ้นนั้น เช่น เมื่อเห็น Notification บนเฟซบุ๊ก ทำให้เรากดเข้าไปดู 3.Reward การให้รางวัล เช่น ฟีดส์ใหม่ๆที่เซอร์ไพรส์และง่ายต่อการใช้งาน ทำให้ได้รู้สิ่งใหม่ๆ ถือเป็นการให้รางวัล 4.Investment คือสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องทำระหว่างใช้งาน เช่น การกดโพสต์ กดไลค์ แชร์ หรือคอมเมนต์ เป็นต้น จกานั้นจะมีการเตือนใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการใช้งานซ้ำตลอดเวลา ซึ่งเฟซบุ๊ก ถือเป็นแอปพลิเคชั่นที่นำ Hooked Model มาใช้จนประสบความสำเร็จในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามข้อควรระวังคือเมื่อ Hooked Model ทำให้เกิดการใช้ซ้ำวนลูปไปเรื่อยๆจนติดงอมแงม สมโภชน์ ทิ้งท้ายว่า ต้องพิจารณาว่าการใช้งานโปรดักส์ใดจนติด เป็นการใช้งานแล้วเสียสุขภาพหรือไม่ เพราะแอปที่ดี หรือ Hooked Model ที่ดี ต้องทำให้เกิดการใช้งานที่ดีต่อสุขภาพ หรือ Health Habit หากใช้แล้วเสียสุขภาพ ควรเลิกใช้

Source: The Bangkok Insight