เจาะลึก Micro-tourism : แนวทางฟื้นฟูการท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น

ความเป็นจริง แนวคิด “ไทยเที่ยวไทย”  ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เกิดขึ้นมาพร้อม “วิกฤต” เสมอ ตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง ไข้หวัดนก จนมาถึงล่าสุดวิกฤตโควิด-19 ที่รัฐบาลส่งเสริมผ่านมาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน”

จากการวิเคราะห์ข้อมูล Mobility data เพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองที่เกิดจากการวิจัยร่วมกันระหว่างดีแทค คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และบุญมีแล็บ พบว่า ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 คนไทยยังคงเดินทางท่องเที่ยวแบบ “เช้าไปเย็นกลับ”  โดยมีค่าเฉลี่ยการเดินทางต่อเที่ยวอยู่ที่ 134.45 กิโลเมตร หรือประมาณ 150 กิโลเมตร  ผลการวิเคราะห์พบว่า เมืองรองบางจังหวัดมีศักยภาพในการดึงดูดการเดินทางท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับจากพื้นที่โดยรอบได้เป็นอย่างดี เช่น ลำพูน เชียงราย นครศรีธรรมราช สามารถดึงดูดการเดินทางการท่องเที่ยวแบบไปกลับจากจังหวัดอื่นในระยะ 150 กม. ได้ในสัดส่วนสูงถึง 40 – 60 %  ขณะที่ค่าเฉลี่ยรวมของกลุ่มจังหวัดเมืองรองมีเพียง 14 % เท่านั้น

นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ Mobility data ชี้ให้เห็นว่า เมืองรองบางจังหวัดสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับให้เดินทางมาเยือนได้ในระยะทางมากกว่า 200 กิโลเมตร เช่น แม่ฮ่องสอน ระนอง น่าน เพชรบูรณ์ นครพนม  และยังพบว่าเมืองรองบางแห่งมีความสามารถในการดึงดูดปริมาณการเดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับได้มากกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มเมืองรองด้วยกันเองถึง 3 – 5 เท่า เช่น นครนายก ราชบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม อ่างทอง  โดยเมื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณาร่วมกันจะพบว่า จังหวัดที่มีศักยภาพในการดึงดูดการท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับอย่างโดดเด่นในกลุ่มเมืองรองประกอบด้วย 16 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช เชียงราย นครพนม ลำพูน นครนายก ระนอง เพชรบูรณ์ อุบลราชธานี แม่ฮ่องสอน พัทลุง ราชบุรี นครสวรรค์ บุรีรัมย์ มหาสารคาม สุพรรณบุรี และชุมพร ตามลำดับ

ผ่าโมเดล Micro-tourism ของญี่ปุ่น

ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย ผู้ร่วมวิจัยโครงการศึกษารูปแบบการเคลื่อนที่และการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวไทยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านข้อมูลการเคลื่อนที่ (mobility data) อธิบายว่า การท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับนี้เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่หลายประเทศให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวภายในประเทศที่สามารถสร้างการกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่นและสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์  โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นมีความพยายามโดยภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับภายใต้แนวคิดการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบ Micro-tourism หรือการส่งเสริมประชาชนเดินทางท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ธรรมชาติ สวนเกษตรกรรม และเมืองเก่าในต่างจังหวัดที่ตั้งอยู่โดยรอบถิ่นที่อยู่ของตนในระยะเดินทางที่ใช้เวลาประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง (ประมาณ 150 กิโลเมตร)  แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากการที่ประเทศญี่ปุ่นมีสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศคิดเป็น 60% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด จึงเกิดเป็นแนวคิดในการกระตุ้นให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวไปยังท้องถิ่นต่างๆ มากขึ้น ภายใต้แนวคิดการส่งเสริม Exchange population หรือ ประชากรที่ก้าวข้ามถิ่น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นเพื่อรับมือกับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ

blank

ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมมีค่านิยมชี้วัดความสำเร็จจากการสอบเข้า “โทได” หรือมหาวิทยาลัยโตเกียวเท่านั้น ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของเอเชียและท็อป 20 ของโลก จนมาถึงช่วงปี 1990-2000 คนญี่ปุ่นเปลี่ยนทัศนคติต่อความสำเร็จโดยมองว่าการศึกษาไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จของชีวิตเท่านั้น แต่คือ “ประสบการณ์” พ่อแม่จึงเริ่มพาเด็กออกนอกห้องเรียน ไปตกปลา เรียนรู้การทำเกษตร จักสานและอุตสาหกรรมต่างๆ ขณะที่คนที่อยู่ในวัยแรงงานก็เปลี่ยนมุมมองว่าการทำงานในระบบไม่ใช่ทางออกเดียวของชีวิตอีกต่อไป การเรียนรู้โอกาสในชีวิตผ่านประสบการณ์จึงมีความสำคัญมากขึ้น และนั่นจึงเป็นที่มาของแนวคิด “การท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้”

ในขณะเดียวกัน หลังช่วงปี 2010 เป็นต้นมา ชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว กลุ่มวัยแรงงาน และกลุ่มผู้สูงอายุได้หันมาให้ความสนใจในการท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้มากขึ้น  โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวมองว่า การศึกษาในห้องเรียนและการกวดวิชาเพียงอย่างเดียวไม่ช่วยให้เด็กและเยาวชนมีความรู้และความสามารถในการดำรงชีวิตในอนาคต  แต่เป็น “ประสบการณ์” ในการใช้ชีวิตและการเรียนรู้จากการได้พบปะผู้คนในสังคม  พ่อแม่จึงเริ่มพาเด็กออกนอกห้องเรียน ไปตกปลา เรียนรู้การทำเกษตร จักสานและอุตสาหกรรมต่างๆ  ขณะที่คนที่อยู่ในวัยแรงงานก็เปลี่ยนมุมมองว่าการทำงานในระบบไม่ใช่ทางออกเดียวของชีวิตอีกต่อไป  การเรียนรู้โอกาสในชีวิตผ่านประสบการณ์จึงมีความสำคัญมากขึ้น  ส่วนคนในวัยสูงอายุก็ต้องการรับประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มชีวิตในวัยหลังเกษียณ  นั่นทำให้ “การท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้” โดยการเดินทางไปยังท้องถิ่นต่างๆ ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์กลายเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น

blank

“การก้าวสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ประกอบกับการกระตุ้นของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทำให้มีเกษตรกรและผู้ประกอบการในท้องถิ่นต่างๆ พัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวในกระบวนการผลิตของตน เพื่อดึงดูดการเดินทางท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับในช่วงเสาร์อาทิตย์ ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งพ่อแม่ที่ได้ไปพักผ่อนหย่อนใจ ขณะที่ลูกๆ ก็ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนต่างท้องที่ เกิดเป็นกระแสการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบ Micro-tourism ตามเมืองและชุมชนต่างๆ ” ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ อธิบาย

Micro-tourism ลดความเปราะบางภาคท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้มีต้นทุนทางฝั่งซัพพลายหรือผู้ให้บริการมากนัก ในปีช่วงปี 2000 การท่องเที่ยวญี่ปุ่นจึงมีนโยบายในการใช้ Service Design หรือการออกแบบบริการ ซึ่งหมายถึง การออกแบบรูปแบบบริการให้มีกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสามารถสามารถมีส่วนร่วมได้ในกระบวนการผลิต ตัวอย่างเช่นการทำเส้นอูด้งที่ผลิตจากข้าวในแต่ละพื้นที่ทำให้เกิดเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ ผักและมิโซะในแต่ละพื้นที่ทำให้ซุปที่มีรสชาติแตกต่างกัน ทำให้แต่ละพื้นที่ของญี่ปุ่นมี “อูด้ง” ที่ขึ้นชื่อของเป็นของตัวเอง  การพัฒนา Micro-tourism ช่วยกระตุ้นให้ผู้ประกอบการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวอยู่ในกระบวนการผลิต ทำให้เกิดกิจกรรมการทำเส้นอูเด้งโดยนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการเตรียมพร้อมเรื่องวัตถุดิบและอุปกรณ์ ขณะที่นักท่องเที่ยวก็ได้เรียนรู้กระบวนการทำเส้นอูด้ง เกิดการท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้แบบเช้าไปเย็นกลับที่วัยแรงงาน ครอบครัว ผู้สูงอายุได้มีส่วนร่วม ระลึกความหลัง ประเพณีและวัฒนธรรมทางอาหาร

blank

นอกจากนี้ เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากจังหวัดข้างเคียงเดินทางมาท่องเที่ยวซ้ำในพื้นที่บ่อยๆ หลายเมืองในประเทศญี่ปุ่นจึงเกิดการปรับปรุงพื้นที่เมืองให้มีทัศนียภาพสวยงาม ตอบสนองความต้องการท่องเที่ยวในยุคแห่งคอนเทนท์ที่ต้องรูปถ่ายสวยๆ จากการท่องเที่ยวแชร์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และยังนำมาสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ทางเดินและทางจักรยาน  ระบบขนส่งมวลชน  ห้องน้ำสาธารณะ การพัฒนาคุณภาพการบริการในร้านค้าและร้านอาหาร รวมไปถึงการผลิตของฝากประจำเมือง ดังที่เรามักพบเห็นกันเมื่อเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น  สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากจังหวัดโดยรอบเท่านั้น ยังสร้างความภาคภูมิใจและความสะดวกสบายให้กับประชาชนในเมืองอีกด้วย

“จากสิ่งทีเกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น จะเห็นได้ว่า หากการท่องเที่ยวภายในประเทศแข็งแรง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการกระจายรายได้ ลดความเปราะบาง และก่อให้เกิดความเข้มแข็งทั้งในภาคการท่องเที่ยวและการพัฒนาท้องถิ่นเอง โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 ที่ผู้คนต้องการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวและระมัดระวังเรื่องโรคระบาดกันมากขึ้น จะเห็นได้ว่าเมืองที่สามารถดึงดูดการเดินทางท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับเป็นเมืองท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนอย่างต่อเนื่อง” รองผู้อำนวยการหน่วยปฏิบัติการวิจัยด้านการออกแบบเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

blank

เหลียวญี่ปุ่นแลไทย

ผลลัพธ์ที่ปรากฏในประเทศญี่ปุ่นสะท้อนให้เห็นว่า การพัฒนาท่องเที่ยวแบบ Micro-tourism อาจเป็นแนวทางการพัฒนาจังหวัดเมืองรองได้  ดีแทค คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และบุญมีแล็บจึงได้ใช้ Mobility data มาวิเคราะห์ถึงศักยภาพจังหวัดเมืองรองที่มีศักยภาพในการดึงดูดการท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ ซึ่งพบว่ามีเมืองรองที่มีศักยภาพโดดเด่นทั้ง 16 จังหวัดดังกล่าวข้างต้น ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มจังหวัดที่มีเหมาะสมกับการส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวในรูปแบบ Micro-tourism โดยการสนับสนุนให้เกษตรกร ผู้ผลิตสินค้า และผู้ประกอบการในท้องถิ่นพัฒนากิจกรรมบางอย่างที่นักท่องเที่ยวสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมการผลิตที่ดำเนินการอยู่ตามปกติ เพื่อสร้างกิจกรรมการท่องเที่ยวที่กระตุ้นการเรียนรู้และการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้มาเยือน  ทั้งนี้ การพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวอาจจะเน้นการใช้สถานที่และอุปกรณ์ที่เกษตรกรและผู้ประกอบการมีอยู่แล้วแต่เดิมเพื่อลดต้นทุนในการดำเนินการในช่วงแรก

blank
blank

ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ให้ความเห็นว่า การพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ทำให้ในปัจจุบันการเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศมีความสะดวกและปลอดภัย ทุกพื้นที่แทบจะมีร้านสะดวกซื้อ โรงแรมที่พัก และร้านอาหารให้บริการ  การติดต่อสื่อสารผ่านระบบออนไลน์สามารถทำได้จากแทบทุกพื้นที่  ประกอบกับการลงทุนพัฒนาระบบรางในอนาคตจะช่วยให้กลุ่มคนที่มีข้อจำกัดทางด้านการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว เช่น ผู้สูงอายุ เยาวชน ผู้พิการ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ สามารถเดินทางด้วยตนเองไปสู่พื้นที่ในท้องถิ่นของประเทศไทยได้สะดวกยิ่งขึ้น  ปัจจัยเหล่านี้น่าจะเป็นตัวเร่งที่สำคัญต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบ Micro-tourism ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย

โดยเฉพาะในช่วงหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีการย้ายถิ่นฐานของประชากรวัยแรงงานไปสู่ท้องถิ่นและชนบทเป็นจำนวนมาก และการพัฒนาระบบสื่อสารสารสนเทศที่ทำให้เราสามารถทำงานทางไกลกันได้สะดวกมากขึ้น  ผศ.ดร.ณัฐพงศ์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ปรากฏการณ์ยูเทิร์น (U-Turn)” ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวในท้องถิ่น เนื่องจากในท้องถิ่นและพื้นที่ชนบทของไทยมีข้อจำกัดในการพัฒนาการท่องเที่ยวและการค้าการบริการเนื่องจากขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมาโดยตลอด  การที่คนวัยแรงที่เคยเดินทางออกจากภูมิลำเนาเพื่อการศึกษาหรือทำงานในเมืองใหญ่หรือในต่างประเทศ เริ่มเดินทางกลับมายังท้องถิ่นของตนเอง ทั้งจากวิกฤตโควิด-19 และความเหนื่อยหน่ายจากสังคมเมือง หรือความต้องการในการหาวิถีชีวิตใหม่ ทำให้เราเริ่มเห็นโรงแรมดีๆ ร้านอาหารชิคๆ เกิดขึ้นมากมาย และนี่คือโอกาสอันดีของการพัฒนาการท่องเที่ยวในเมืองรองในอนาคต

blank

“ผมมองว่า เมืองรองอาจจะต้องใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาการท่องเที่ยวรูปแบบต่างๆ ซึ่ง Micro-tourism อาจจะเป็นแนวทางหนึ่งที่เป็นไปได้  อย่างไรก็ตามภาคส่วนต่างๆ ควรต้องร่วมมือกันดำเนินการให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วในช่วงการฟื้นตัวจากโรคโควิด-19นี้ เพราะตอนนี้ความต้องการด้านการท่องเที่ยวกำลังเพิ่มขึ้นอยู่ทั้งภายในประเทศและในตลาดโลก หากเราสามารถช่วยกันหายุทธวิธีในการกระจายนักท่องเที่ยวไปพร้อมกับการส่งเสริมการพัฒนาฐานการท่องเที่ยวในเมืองรอง จะช่วยให้เรามีโอกาสในการพัฒนาต่อยอดเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต”  ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ ยังกล่าวย้ำอีกว่า “และนี่คือ “Turning point” สำคัญของการรื้อโครงสร้างการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจฐานรากของไทย ก่อนที่สถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะแบบเดิมในยุคก่อนโควิด-19”

blank