“ดีแทคเป็นบริษัทที่พี่รักมากที่สุด” ทิพยรัตน์ แก้วศรีงาม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานขาย ดีแทค หรือ พี่เจี๊ยบของน้องๆ ดีแทค กล่าวถึงเหตุผลที่คัมแบ็คกลับมายังดีแทค
พี่เจี๊ยบเป็นอีกคนหนึ่งที่รู้จักดีแทคดีที่สุดคนหนึ่ง ทั้งยังมีประสบการณ์โชกโชนในหลายสาขา เคยดำรงตำแหน่งเป็น CxO หลายกลุ่มงานทั้ง Chief Customer Officer (ในสมัยนั้น) และ Chief People Officer ก่อนที่จะได้รับมอบหมายให้ไปเซ็ตอัพ Telenor Myanmar ในตำแหน่ง Chief People Officer และก้าวออกจากดีแทคเพื่อท้าทายตัวเองในอุตสาหกรรมค้าปลีก ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เธอยังไม่เคยทำมาก่อน ในตำแหน่ง CEO บริษัท Metro Myanmar ซึ่งเป็นสาขาที่ 34 ในเครือ Metro Group ผู้ให้บริการค้าปลีกและส่งรายใหญ่ของโลกสัญชาติเยอรมัน
เธอบอกว่า ที่ Metro นี้เอง เธอได้เรียนรู้ถึงภูมิทัศน์ของโลกค้าปลีกที่แข่งขันสูงและถูก disrupt อย่างรุนแรงและรวดเร็วไม่แพ้โทรคมนาคม โดยเฉพาะที่พม่า มีความท้าทายทางธุรกิจอย่างมาก เนื่องจากราคาที่ดินที่มีราคาแพงมาก ไลน์ผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนมากกว่า 50,000 SKU อีกทั้งค้าปลีกยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีการควบคุมต้นทุนสูง ทำให้รูปแบบของค้าปลีกเปลี่ยนไปจาก cash and carry (ร้านค้าปลีกในรูปแบบขายส่งเหมือนแมคโคร) สู่ Wholesale online store กล่าวคือเป็นร้านค้าปลีกที่ไม่มีหน้าร้าน สั่งสินค้าผ่านระบบออนไลน์ได้ 24 ชั่วโมงและส่งถึงหน้าบ้าน
ถึงเวลากลับ “บ้าน”
เมื่อเซ็ตอัพ Metro Myanmar เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประกอบกับมีความรู้สึกคิดถึง “บ้าน” จึงได้ตัดสินใจกลับประเทศไทย ขณะเดียวกัน ก็ได้รับคำชักชวนให้กลับ “บ้าน” อีกหลัง ซึ่งนั่นคือ “ดีแทค”
“จริงๆ ตอนที่กลับมา มีหลายบริษัทพี่ไปทำงานในตำแหน่ง CEO ทั้งนั้นเลย แต่พี่เจี๊ยบก็เลือกดีแทค พี่ทำงานมาหลายที่ และพี่พูดได้เลยว่า ดีแทคเป็นบริษัทที่พี่รักมากที่สุด ทั้งๆ ที่หลายคนก็ถามว่าจะมาเหนื่อยทำไมอีก แต่พี่ก็เลือกที่นี่ และอาจจะเป็นงานสุุดท้ายของพี่เจี๊ยบแล้วล่ะ” พี่เจี๊ยบเผย
เหตุผลสำคัญของการกลับมาครั้งนี้ มี 2 เรื่อง หนึ่งคือเรื่อง “คน” ทุกคนที่ดีแทคล้วนมีพลังบวก มีไฟในการทำงาน ทุกคนมีความน่ารักและรักบริษัท ผูกพันซึ่งกันและกัน ซึ่งไม่มีที่ไหนเป็นเหมือนที่ดีแทค
เหตุผลที่สองคือ การ turnaround ดีแทค ช่วงที่พี่เจี๊ยบอยู่ที่ดีแทคนั้น เป็นช่วงของการเติบโต มีส่วนแบ่งตลาดดเป็นอันดับสองทิ้งห่างคู่แข่ง แต่ปัจจุบัน ดีแทคเปรียบได้เหมือนมวยรอง ส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลง ความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงภายใน การเปลี่ยนผ่านของระบบสัมปทานสู่ใบอนุญาต ส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องในการทำงาน ทำให้หลายคนบอบช้ำ ความมั่นใจในบริษัทลดลง และนี่คือภารกิจแรกที่พี่เจี๊ยบจะเข้ามาสางปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน Sales Group
“People is always my priority พี่เชื่อว่าเรื่องคนสำคัญที่สุด เราจะขายของได้ก็ต่อเมื่อคนของเราไม้ต้องกังวลกับปัจจัยต่างๆ อย่างสมัยก่อนเวลาพี่ไปคอลเซ็นเตอร์ เห็นน้องๆ หน้าเครียด ไม่มีความสุข พี่ก็จะเข้าไปถามว่ามีปัญหาอะไร บางคนบอกอยากได้ยางรัดผม อยากได้ต่างหู อยากได้เครื่องสำอาง หรือขอเข้างานให้ช้าลง คือบางอย่างมันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มัน matter สำหรับเขา เช่นเดียวกับการแก้ไขปัญหาของลูกค้า”
เธอกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “พี่มีความเชื่อว่าเราสามารถกลับมาแข็งแกร่งในแบบที่เคยเป็นได้ด้วยจุดแข็งและความแตกต่างที่เรามี เมื่อเราเชื่อมั่นในตัวเอง ลูกค้าก็จะเชื่อเรา เพราะฉะนั้น เราจะต้องดึง fighting spirit กลับมาอีกครั้ง ที่เหลือเป็นเรื่องของทิศทางของระดับบริหาร”
“โอกาส” มีอยู่ทุกที่
แม้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมจะอยู่ในช่วงอิ่มตัว อาจจะไม่ได้เติบโตอย่างหวือหวาเหมือนในอดีตที่ผ่านมา แต่ในมุมมองของแม่ทัพหญิงคนนี้ เธอเชื่อว่า “ในทุกตลาดทุกสถานการณ์ล้วนมีโอกาส” แม้อัตราการเข้าถึงซิมของคนไทยจะพุ่งไปถึง 130% แต่ใน 130% นี้ ก็ยังมี dynamic ของมันอยู่ เช่น เด็กที่เริ่มโตมีความต้องการใช้อินเทอร์เน็ต คนไทยที่เคยอยู่ต่างประเทศ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาไทยปีละ 30 ล้านคน ลูกค้าย้ายค่าย กล่าวคือ ยังมีเลเยอร์ใหม่ในเชิงตลาดที่สามารถเล่นได้และเติบโตอยู่เสมอ
แม้ปัจจุบันดีแทคจะมีปัญหาและอุปสรรคต่างๆ นานา พร้อมกับแรกดดันจากผู้ถือหุ้นที่ต้อง turnaround ในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งพี่เจี๊ยบตอบกลับสั้นๆ ว่า “ขอแค่ทุกคนมี 3 ข้อนี้ โฟกัส ไดเรคชั่น และการแทรกกิ้งหรือการติดตามผล ก็จะช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้ ซึ่งพี่ขอเรียก 3 สิ่งนี้ว่า Three is a charm”
ซึ่งที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนสอดคล้องกับ values ของดีแทค จริงใจกับลูกค้า ติดตามผล แจ้งให้ทราบและให้ความช่วยเหลือให้ถึงที่สุด